มกราคม 17, 2560

กระสัง

กระสัง ชื่อสามัญ Peperomia, Shiny leave[2]

กระสัง ชื่อวิทยาศาสตร์ Peperomia pellucida (L.) Kunth จัดอยู่ในวงศ์พริกไทย (PIPERACEAE)[2] (ข้อมูลทั่วไปใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Peperomia pellucida Korth)
สมุนไพรกระสัง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ผักราชวงศ์ (แม่ฮ่องสอน), ผักกูด (เพชรบุรี), ผักสังเขา (สุราษฎร์ธานี), ผักฮากกล้วย (ภาคเหนือ), ผักกระสัง (ภาคกลาง), ชากรูด (ภาคใต้), ตาฉี่โพ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น[1]

ลักษณะของกระสัง

  • ต้นกระสัง จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นเปราะหักง่าย มีความสูงได้ประมาณ 15-30 เซนติเมตร ลำต้นและใบเป็นสีเขียวและอวบน้ำ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด พบขึ้นทั่วไปในเขตร้อนทั่วโลก ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักขึ้นในแปลงผัก ตามสวน และตามสนามหญ้าทั่วไป[1] จัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง (การกำจัดและป้องกันสามารถใช้ได้ทั้งวิธีการเขตกรรม เช่น ถาก ถอน ทิ้งอยู่เสมอ และการใช้สารเคมีต่างๆ เช่น กรัมม็อกโซน มาร์เก็ต (ไกลโฟเซต), ดามาร์ค (ไกลโฟเลท), ทัชดาวน์ (ไกลโฟเซต, ไตรมีเซียมซอลต์) ฯลฯ[2]
ต้นกระสัง
  • ใบกระสัง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ โดยจะออกจากลำต้นในลักษณะตรงข้าม ลักษณะของใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าตื้น ส่วนขอบใบเรียบ มีต่อมโปร่งแสง แผ่นใบหนาเป็นคลื่นเล็กน้อย[1] ผิวใบด้านบนเป็นมัน ด้านล่างขุ่นและมีสีอ่อนกว่า ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-4 เซนติเมตร[2]
ใบกระสัง
  • ดอกกระสัง ออกดอกเป็นช่อตามซอกและที่ปลายกิ่ง ช่อดอกเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีครีม ช่อดอกจะออกบริเวณข้อตรงข้ามกับใบ เรียงโค้งขึ้น ประกอบไปด้วยดอกเล็ก ๆ ที่ไม่มีก้าน มีดอกย่อยจำนวนมากเวียนรอบแกน ดอกเป็นแบบสมบูรณ์เพศ ไม่มีทั้งกลีบดอกและกลีบเลี้ยง มีใบประดับดอกละ 1 ใบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน อยู่ข้าง ๆ รังไข่ อับเรณูเป็นสีขาว ก้านชูอับเรณูสั้น เกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไข่มีลักษณะกลม อยู่เหนือฐานดอก[1],[2]
ดอกกระสัง
  • ผลกระสัง ผลเป็นผลสด มีลักษณะกลม ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดเป็นสีดำทรงกลมและมีขนาดเล็ก[1],[2]
ผลกระสัง

สรรพคุณของกระสัง

  1. ในตรินิแดด (Trinidad) นิยมใช้สมุนไพรชนิดนี้เป็นยาเย็นสำหรับเด็ก (ใบ)[1]
  2. ในบราซิลจะใช้สมุนไพรชนิดนี้เพื่อลดคอเลสเตอรอล (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[6]
  3. ในมาเลเซียเชื่อว่า การรับประทานผักกระสังจะสามารถช่วยรักษาโรคตาและต้อ (glaucoma) ได้ (ใบ)[6]
  4. ใบนำมาตำให้แหลกใช้เป็นยาแก้ปวดศีรษะ (ใบ)[1],[4]
  5. ใบผักกระสังที่ทำให้แหลกแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อักเสบได้ (ใบ)[1],[4],[5]
  6. ใบใช้รับประทานสด ๆ จะมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน เนื่องจากมีวิตามินซีสูง (ใบ)[4],[6]
  7. ใบนำมาตำขยำใช้แปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม เป็นยาแก้มะเร็งเต้านม (ใบ)[6]
  8. น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง (ใบ)[1],[4]
  9. ในกียานา (Guyana) จะใช้ผักกระสังเป็นยาขับปัสสาวะ ลดไข่ขาวในปัสสาวะ ส่วนในแถบแอมะซอนจะใช้เป็นยาขับปัสสาวะ หล่อลื่น แก้หัวใจเต้นผิดปกติ (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)[6]
  10. ใช้เป็นยารักษาเริม ด้วยการนำต้นผักกระสังมาผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียด แล้วนำมาพอกทิ้งไว้ 1 คืน (ต้นและใบ)[6]
  11. ยาชงจากใบใช้เป็นยาแก้ชัก (ใบ)[1],[5]
  12. ใบใช้ตำพอกฝีและแผล หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝีที่มีหนอง จะช่วยรักษาแผลฝีหนองได้ (ใบ)[1],[4],[5]
  13. ทั้งต้นใช้เป็นยาแก้พิษฝี หรือนำมาแช่น้ำทาแก้ผื่นคัน (ทั้งต้น)[3]
  14. หมอยาพื้นบ้านบางคนจะกินผักกระสังเป็นยาแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์จะมีการกินผักกระสังสด ๆ หรือนำมาต้มกินเพื่อรักษาโรคเกาต์ อาการปวดข้อ และข้ออักเสบ โดยการนำผักกระสังต้นยาวสัก 20 เซนติเมตร นำมาต้มกับน้ำ 2 แก้ว ให้เหลือประมาณ 1 แก้ว ใช้แบ่งรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว เช้าและเย็น (ในปัจจุบันฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเกาต์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริกในกระแสเลือด) นอกจากนี้ชาวฟิลิปปินส์ยังใช้ทั้งต้นสดนำมาบดประคบฝีหรือตุ่มหนอง และโรคผิวหนังอื่น ๆ ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่า ผักชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียได้หลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้โดยง่าย (ต้นและใบ)[6]
  15. ในโบลิเวียมีบันทึกที่มีอายุนานนับพันปีชื่อว่า “Altenos Indians Document” ซึ่งกล่าวไว้ว่า ผักกระสังทั้งต้นใช้บดผสมกับน้ำใช้กินเป็นยาห้ามเลือด ใช้ส่วนเหนือดินโปะแผล ใช้ส่วนของรากต้มกินเป็นยารักษาไข้ (ทั้งต้น)[6]
  16. นอกจากนี้ในประเทศอื่น ๆ ยังมีการใช้ผักกระสังเป็นยารักษาอาการปวดท้อง ทั้งแบบธรรมดาและปวดเกร็ง รักษาฝี สิว หัด อีสุกอีใส แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แก้อาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ระบบประสาทแปรปรวน มีแก๊สในกระเพาะ ปวดข้อรูมาติก[6]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระสัง
  • มีรายงานการศึกษาที่พบว่า ผักกระสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ แก้อาการปวด และไม่มีพิษภัย[6] โดยสารสกัดด้วยน้ำจากใบกระสังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ Micrococcus pyogenes Lehm. et Neum. var. aureus Huck. และเชื้อ Escherichia coli (Miq.) Cast. et Chalm.[1]
  • จากการศึกษาพบว่า ผักกระสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง โดยใน 100 กรัมจะมีวิตามินสูงถึง 18 มิลลิกรัม ทางสถาบันวิจัยโภชนาการของมหาวิทยาลัยมหิดล ได้พบว่าผักกระสังเพียง 100 กรัม จะมีเบต้าแคโรทีนประมาณ 285 ไมโครกรัม[6]
  • สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยพบว่า ผักกระสังมีฤทธิ์เสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกส่วนที่สึกหรอได้[7]

ประโยชน์ของกระสัง

  1. ต้นและใบใช้รับประทานเป็นผักสด โดยนำมาผัด ลวก หรือนึ่งเป็นอาหาร[1] หรือใช้ทำยำผักกระสัง ด้วยการนำผักมาหั่นเป็นชิ้นพอประมาณสัก 1-2 ทัพพี, กุ้งแห้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะ, มะม่วงซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ, แคร์รอตซอยฝอย ๆ 1-2 ช้อนโต๊ะ, ขิงซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ, น้ำเปล่า 1-2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ, พริกขี้หนูแห้งทอด พอประมาณ, ถั่วลิสงคั่ว พอประมาณ, หมูหยอง พอประมาณ, หัวหอมซอย พอประมาณ, โหระพาและสะระแหน่ไว้แต่งรส จากนั้นรวมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วปรุงรสตามใจชอบ เพียงเท่านี้ก็พร้อมรับประทานได้แล้ว[5] ส่วนยำผักกระสังอีกสูตรจะใช้ผักกระสัง 6 ช้อนคาว, เนื้อหมูสามชั้น 2 ช้อนคาว, หนังหมู 2 ช้อนคาว, กุ้งต้ม 2 ช้อนคาว, หอม 1 ช้อนคาว, กระเทียม 1 ช้อนคาว, ถั่วลิสง 1 ช้อนคาว, พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด, น้ำปลา, น้ำตาล และมะนาว โดยขั้นตอนในการทำนั้นจะเริ่มจากการนำหมูและหนังหมูมาต้มให้พอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ซอยหอม กระเทียมตามยาวของกลีบ นำไปเจียวให้พอเหลือง จากนั้นนำถั่วลิสงมาหั่นตามยาวเป็นฝอย ๆ พริกแดงให้ผ่าเอาเมล็ดออก ตัดเป็นสองท่อน แล้วหั่นตามยาวเป็นฝอย ๆ แล้วคลุกเครื่องปรุงข้างต้นเข้าด้วยกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และมะนาวตามชอบใจ แล้วจึงนำผักกระสังมาตัดรากทิ้ง เด็ดเป็นท่อนสั้น ๆ ล้างน้ำให้สะอาด ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ คลุกเคล้ากับเครื่องข้างต้นให้เข้ากัน แล้วจัดใส่จานพร้อมกับโรยหน้าด้วยหอมเจียวและพริกแดง เป็นอันเสร็จ (คู่มือการปรุงอาหารจากผักพื้นบ้านไทย, ยิ่งยง ไพสุขศานติวัฒนา)
  2. ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและถูกจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง[6]
  3. น้ำคั้นจากใบใช้ทารักษาสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น[6]
  4. ผักกระสังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะใช้รักษาสิวได้แล้ว สาว ๆ ในสมัยก่อนยังใช้น้ำต้มจากผักชนิดนี้นำมาล้างหน้าบ่อย ๆ เพื่อเป็นการบำรุงผิวและทำให้ผิวหน้าสดใสอีกด้วย[6]
  5. นอกจากนี้ยังมีการใช้ผักกระสังเป็นยาสระผม โดยนำใบมาขยำกับน้ำแล้วชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็นเพื่อช่วยป้องกันผมร่วงและทำให้ผมนุ่ม เพราะผักชนิดนี้มีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อน ๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย[6]
  6. ปัจจุบันมีการนำสมุนไพรชนิดนี้ไปผลิตเป็นสารสกัดเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศ[6]
ข้อควรระวัง : สำหรับผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท Mustard (พืชเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทานผักชนิดนี้[6]
References
  1. ข้อมูลพรรณไม้, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระสัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rspg.or.th/plants_data/. [16 ส.ค. 2015].
  2. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. “ผักกระสัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : clgc.agri.kps.ku.ac.th. [16 ส.ค. 2015].
  3. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. “Peperomia pellucida (L.) Humb., Bonpl. & Kunth”. อ้างอิงใน : หนังสือสารานุกรมสมุนไพร เล่ม 4 กกยาอีสาน หน้า 188. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org. [16 ส.ค. 2015].
  4. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน). “กระสัง”. อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th. [16 ส.ค. 2015].
  5. วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานีน้อมรับพระราชดำริ, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระสัง”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : rspg.svc.ac.th. [16 ส.ค. 2015].
  6. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. “เรื่องน่ารู้…ของผักกะสัง”. อ้างอิงใน : หน่วยปฏิบัติการวิจัยเคมีสารสนเทศ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.dra.go.th. [16 ส.ค. 2015].
  7. ผู้จัดการออนไลน์. “สมุนไพรไม้เป็นยา : กระสัง อีกหนึ่งสมุนไพรต้านมะเร็ง ซ่อมแซมกระดูก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th. [16 ส.ค. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Dinesh Valke, Navida Pok, Tai Lung Aik, Nelindah, International Institute of Tropical Agriculture)

ผักหนาม

ผักหนาม ชื่อวิทยาศาสตร์ Lasia spinosa (L.) Thwaites จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)[1]

สมุนไพรผักหนาม มีชื่อเรียกอื่นว่า กะลี (มลายู, นราธิวาส), บอนหนาม (ไทลื้อ, ขมุ), ผะตู่โปล่ เฮาะตู่คุ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), ด่อแกงเล่อ (ปะหล่อง), บ่อนยิ้ม (เมี่ยน), บ่ะหนาม (ลั้วะ), หลั่นฉื่อโก จุยหลักเท้า (จีนแต้จิ๋ว) เป็นต้น[1],[5],[9]

ลักษณะของผักหนาม

  • ต้นผักหนาม จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี ลำต้นมีลักษณะเป็นเหง้าแข็งอยู่ใต้ดินทอดเลื้อย ทอดขนานกับพื้นดิน ตั้งตรงและโค้งลงเล็กน้อย ชูยอดขึ้น ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร และยาวได้ประมาณ 75 เซนติเมตร ตามลำต้นมีหนามแหลม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด มีเขตการกระจายพันธุ์ในอินเดีย ทางตอนใต้ของประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงอินโดนีเซีย ในประเทศพบได้ตามแหล่งธรรมชาติทั่วทุกภาค ชอบดินร่วน ความชื้นมาก และแสงแดดแบบเต็มวัน มักขึ้นในที่ชื้นแฉะมีน้ำขัง เช่น ตามริมน้ำ ริมคู คลอง หนอง บึง ตามร่องน้ำในสวน หรือบริเวณดินโคลนที่มีน้ำขัง[1],[2],[6],[7]
ภาพผักหนาม
ต้นผักหนาม
เหง้าผักหนาม
  • ใบผักหนาม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปหัวลูกศรหรือรูปโล่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบและหยักเว้าลึกเป็น 9 พู รอยเว้ามักลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ ใบมีขนาดกว้างมากกว่า 25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีหนามแหลมตามเส้นใบด้านล่างและตามก้านใบ ใบอ่อนม้วนเป็นแท่งกลม ก้านใบมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาวและแข็ง โดยมีความยาวประมาณ 40-120 เซนติเมตร[1],[2]
ใบผักหนาม
กะลี
  • ดอกผักหนาม ออกดอกเป็นช่อเชิงลด ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก เป็นแท่งยาวขนานเท่ากับใบ ประมาณ 4 เซนติเมตร แทงออกมาจากกาบใบ ก้านช่อดอกมีหนามและยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร มีดอกย่อยอัดกันแน่นเป็นดอกแบบสมบูรณ์เพศ ใบประดับเป็นกาบสีน้ำตาลแกมเขียวถึงสีม่วง กาบหุ้มม้วนบิดเป็นเกลียวตามความยาวของกาบ มีความยาวได้ถึง 55 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อดอกแบบแท่ง Spadix ช่อดอกเป็นสีน้ำตาล ดอกเพศผู้จะมีจำนวนมากและอยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียจะมีจำนวนน้อยกว่าและอยู่ตอนล่าง จะออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[1]
รูปผักหนาม
ดอกผักหนาม
  • ผลผักหนาม ผลมีลักษณะเรียงชิดกันแน่นเป็นแท่งรูปทรงกระบอก เป็นผลสด หนา และเหนียว ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีเนื้อนุ่ม เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมแดง จะเป็นผลในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม[1]
ผลผักหนาม
รูปผลผักหนาม

สรรพคุณของผักหนาม

  • ตำรายาไทยจะใช้ทั้งต้นเป็นยาแก้ปัสสาวะพิการ[1] ส่วนในอินเดียจะใช้ทั้งต้นเป็นยาแก้ปวดท้อง ปวดตามข้อและโรคผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ ใช้น้ำคั้นจากต้นเป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร และใช้ลำต้นและผลเป็นยาแก้อาการผิดปกติเกี่ยวกับคอ[9]
  • ชาวไทใหญ่จะใช้ทั้งต้นรวมกับไม้เปาและไม้จะลาย นำไปต้มอาบและดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อย[5]
  • ลำต้นผักหนาม มีรสเผ็ดชา ใช้เป็นยาแก้ไอ แก้กระหายน้ำ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเหลืองหรือแดง ผิวหนังเน่าเปื่อยเป็นหนอง ใช้ต้มเอาน้ำอาบแก้อาการคันเนื่องจากพิษหัด เหือด ไข้ออกผื่น สุกใส ดำแดง ทำให้ผื่นหายเร็ว และใช้เป็นยาถอนพิษ[1],[9] บ้างใช้ลำต้นแห้งทำเป็นยารักษาโรคผิวหนัง[6]
  • ตำรับยาแก้ผิวหนังเน่าเปื่อยเรื้อรัง เท้าเน่าเปื่อย หรือศีรษะเน่าเปื่อยเป็นแผลเรื้อรัง ให้ใช้ลำต้นผักหนามนำต้มเอาน้ำชะล้างหรือบดให้เป็นผงแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น[9]
  • เหง้าใช้เป็นยาขับเสมหะ แก้ไอ ใช้ต้มกับน้ำอาบแก้คันเนื่องจากพิษหัด เหือด สุกใส ดำแดง และโรคผิวหนัง[1],[2],[3] บ้างใช้เหง้าฝนกับน้ำกินเป็นยาถ่ายพยาธิ (เหง้า)[8]
  • รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้เจ็บคอ[2] ส่วนอีกข้อมูลระบุให้ใช้รากต้มกับน้ำให้เด็กแรกเกิดอาบ แก้อาการเจ็บคอ[1]
  • รากและใบมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะ[1],[3]
  • ใบผักหนามใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้ไอ[1],[2] ส่วนในศรีลังกาจะใช้ใบเป็นยาแก้ปวดท้องและอาการปวดอื่น ๆ ใช้ก้านใบบดให้เละแล้วนำไปให้โคกระบือกินครั้งละน้อย ๆ เป็นยาแก้อาการผิดปกติเกี่ยวกับคอ[9]
ขนาดและวิธีใช้ : การเก็บยาให้เก็บลำต้นในช่วงฤดูร้อนและล้างให้สะอาด แล้วนำไปตากแห้งหรือหั่นเป็นแผ่นตากแห้งเก็บไว้ใช้ (ลักษณะยาที่ดีจะรสเผ็ดชา ต้นที่เก็บจะต้องมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก เปลือกสีน้ำตาลเทา มีข้อเป็นปุ่ม ขรุขระมีหนามแข็ง แต่ละข้อห่างกันประมาณ 6-7 เซนติเมตร มีรากฝอยขดม้วนเข้าไปที่โคนก้านใบ เนื้อในเป็นสีเทาหรือสีชมพู มีแป้งมาก และมีจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป) โดยให้ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 ต้มกับน้ำกิน ส่วนการใช้ภายนอกให้นำไปต้มเอาน้ำชะล้างหรือบดเป็นผงทาบริเวณที่เป็น[9]
ประโยชน์ของผักหนาม
  • ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อนผักหนามมีรสจืด (ถ้านำไปดองจะมีรสเปรี้ยว) สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้ โดยนำมาลวกหรือต้มกับกะทิ หรือใช้ทำผักดองแกล้มแกงไตปลาและขนมจีน รับประทานร่วมกับน้ำพริก หรือนำไปผัด ปรุงเป็นแกง อย่างแกงส้ม แกงไตปลา เป็นต้น โดยคุณค่าทางโภชนาการของผักหนามใน 100 กรัม จะประกอบไปด้วย พลังงาน 18 แคลอรี, โปรตีน 2.1 กรัม, ไขมัน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 2.0 กรัม, ใยอาหาร 0.8 กรัม, เถ้า 0.8 กรัม, วิตามินเอ 6,383 หน่วยสากล, วิตามินบี 1 0.92 มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม, วิตามินบี 3 0.91 มิลลิกรัม, วิตามินซี 23 มิลลิกรัม, แคลเซียม 14 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.9 มิลลิกรัม และฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม[1],[7]
  • ก้านใบอ่อนใช้ต้มกินกับน้ำพริก[5]
  • ในอินเดียจะใช้ผลผักหนามปรุงเป็นอาหาร[9]
  • ลำต้นนำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ผสมในข้าวสาร แล้วนำไปหุง จะช่วยเพิ่มปริมาณ[5]
  • ก้านและใบใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงโคกระบือ (นำมาตำกับเกลือให้โคกระบือกิน) ทำให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ เพราะผักหนามมีฮอร์โมนบางชนิดและสารบางตัวที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรคได้อีกทางหนึ่ง[3]
  • นักวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้มีการทดลองนำผักหนาม โดยใช้ส่วนของก้านแก่และใบแก่ (ปริมาณร้อยละ 0.5) มาบดผสมลงไปในอาหารเลี้ยงไก่ เมื่อเปรียบเทียบผลกับการใช้อาหารสัตว์ที่มีการผสมยาปฏิชีวนะ ผลการทดลองพบว่า ไก่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยที่ปริมาณอาหารที่กิน อัตราการเพิ่มน้ำหนัก และอื่น ๆ ไม่แตกต่างกับการใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นต้นทุนด้านค่าอาหาร (เมื่อคิดต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวไก่แล้ว การใช้ผักหนามมีต้นทุนต่ำกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ) แต่เมื่อเพิ่มปริมาณเป็นร้อยละ 1.5 โดยใช้ลำต้นและรากผักหนามแทน จะเห็นได้ชัดว่า ผักหนามให้ผลดีกว่ายาปฏิชีวนะ เพราะน้ำหนักตัวของไก่เพิ่มขึ้นมากกว่าไก่ที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ผสมยาปฏิชีวนะเกือบ 20% และมีการกินอาหารได้มากกว่า แต่ต้นทุนค่าอาหารก็ยังต่ำกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งเหมาะกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่เป็นอย่างมาก[3]
ยอดอ่อนผักหนาม
ผักหนามต้ม
ข้อควรระวัง : ใบ ก้านใบ และต้นผักหนามมีสารไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic. Glycosides) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ (สารพิษชนิดหนึ่ง) ได้ โดยเป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนของเลือด เมื่อได้รับพิษหรือรับประทานเข้าไปดิบ ๆ จะทำให้อาเจียน กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก หายใจลำบาก มึนงง ไม่รู้ตัว ชักก่อนจะหมดสติ มีอาการขาดออกซิเจน ตัวเขียว ถ้าได้รับมากจะทำให้โคม่าภายใน 10-15 นาที และเสียชีวิตได้ เมื่อได้รับพิษจะต้องทำให้อาเจียนออกมา แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้อง ดังนั้นก่อนนำมารับประทานจะต้องนำไปทำให้สุกหรือดองเปรี้ยวเพื่อกำจัดพิษไซยาไนด์เสียก่อน[1],[4],[9]
References
  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [29 ก.ย. 2015].
  2. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “ผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org.  [29 ก.ย. 2015].
  3. คมชัดลึกออนไลน์.  “ใช้ผักหนามเลี้ยงไก่”.  (พีรเดช ทองอำไพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.komchadluek.net.  [29 ก.ย. 2015].
  4. ระบบวินิจฉัยและการรักษาอาการอันเนื่องจากพืชพิษในประเทศไทย, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th/tpex/poison/poison.htm.  [29 ก.ย. 2015].
  5. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์กรมหาชน).  “ผักหนาม”  อ้างอิงใน : หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ (สมพร ภูติยานันต์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : eherb.hrdi.or.th.  [29 ก.ย. 2015].
  6. โครงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พันธุ์ผักพื้นบ้านและไม้ผลพื้นเมืองภาคใต้ สำหรับประชาชน, คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.  “ผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th/ProjectSite/webpage/detail-project.htm.  [29 ก.ย. 2015].
  7. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [29 ก.ย. 2015].
  8. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่.  “เดินป่า ศึกษาสมุนไพร แก่งยาว ๕๘ – ๒ (๕. ผักหนาม)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.rakkhaoyai.com.  [29 ก.ย. 2015].
  9. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 17 คอลัมน์ : อื่น ๆ.  (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ).  “หนาดใหญ่และผักหนาม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [29 ก.ย. 2015].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (Ahmad Fuad Morad, Yeoh Yi Shuen, VanLap Hoàng, Stefan Neuwirth, Eric Hunt), www.gotoknow.org (by อักขณิช)

ติ้วขาว

ติ้วขาว

ติ้วขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum formosum (Jacq.) Benth. & Hook.f. ex Dyer (Cratoxylum formosum subsp. formosum) ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ติ้ว (HYPERICACEAE)
สมุนไพรติ้วขาว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า แต้วหิน (ลำปาง), ผักเตา เตา (เลย), ติ้วส้ม (นครราชสีมา), กวยโชง (กาญจนบุรี), ตาว (สตูล), ติ้วแดง ติ้วยาง ติ้วเลือด ติ้วเหลือง (ภาคเหนือ), ติ้วเหลือง (ภาคกลาง), แต้ว (ภาคใต้), ผักติ้ว เป็นต้น[1]
หมายเหตุ : ต้นติ้วขาว (ผักติ้ว) ชนิดที่กล่าวถึงในบทความนี้ (สามารถรับประทานได้) เป็นพรรณไม้คนละชนิดกันกับต้นติ้วขน หรือ ติ้วหนาม (ไม่สามารถรับประทานเป็นผักได้) ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cratoxylum formosum subsp. pruniflorum (Kurz) Gogelein อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ ติ้วขน

ลักษณะของติ้วขาว

  • ต้นติ้วขาว จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงของต้นเฉลี่ยประมาณ 3-12 เมตร และอาจสูงได้ถึง 35 เมตร เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม โคนต้นมีหนาม กิ่งก้านเรียว ส่วนกิ่งอ่อนมีขนนุ่มอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดง แตกล่อนเป็นสะเก็ด ส่วนเปลือกด้านในเป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง ลำต้นมีน้ำยางสีเหลืองปนแดงซึมออกมาเมื่อถูกตัดหรือเกิดแผล ขยายพันธุ์วิธีการใช้เมล็ด เป็นต้นไม้ที่ทนแล้งได้ดี พบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทางภาคใต้ตอนเหนือ โดยจะขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง ป่าตามเชิงเขา และตามป่าเบญจพรรณ[1]
ต้นติ้วขาว
ต้นผักติ้ว
  • ใบติ้วขาว ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปวงรีแกมรูปไข่กลับ หรือเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบสอบเรียบ ส่วนขอบใบโค้งเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-4.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-13 เซนติเมตร ผิวใบทั้งสองด้านมีขนละเอียด ใบเมื่ออ่อนจะเป็นสีชมพูอ่อนถึงสีแดง เรียบและเป็นมันวาว โดยในช่วงฤดูหนาวจะเห็นเรือนพุ่มทั้งหมดเป็นสีชมพูอ่อน ใบแก่เป็นสีเขียวสด เรียบ เกลี้ยง หลังใบบนเป็นมัน ส่วนท้องใบมีต่อมกระจายอยู่ทั่วไป ใบแก่เป็นสีแดงหรือสีแสด มีเส้นข้างใบประมาณ 7-10 คู่ โดยจะโค้งจรดกันใกล้ขอบใบ และมีก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.6 เซนติเมตร[1]
ใบติ้วขาว
  • ดอกติ้วขาว ออกดอกเป็นช่อแบบกระจุกตามกิ่งเหนือรอยแผลของใบ กลีบดอกเป็นสีขาวอมสีชมพูอ่อนถึงสีแดง กลีบดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกตามซากใบ หลุดร่วงได้ง่าย ดอกมีอยู่ 5 กลีบ เมื่อดอกบานจะขยายออกประมาณ 1.2 เซนติเมตร ก้านดอกเรียวเล็กและมีกาบเล็ก ๆ ที่ฐานกลีบด้านใน ดอกมีเกสรตัวผู้สีเหลือง สั้น ๆ อยู่จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นกลุ่ม 3 กลุ่ม ส่วนเกสรตัวเมีย ก้านเกสรเป็นสีเขียวอ่อนมี 3 อัน และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อนปนสีแดง โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม[2]
ดอกติ้วขาว
  • ผลติ้วขาว ผลเป็นแบบแห้งและแตกได้ ลักษณะของผลเป็นรูปไข่แกมรูปกระสวย ผิวผลมีนวลสีขาว ผลเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลดำ ลักษณะของผลเป็นแบบแคปซูล ปลายแหลม ผิวเรียบและแข็ง มีขนาดกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.3-1.8 เซนติเมตร และจะแตกออกเป็น 3 แฉกเมื่อแก่ ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล ส่วนที่ฐานดอกมีกลีบเลี้ยงยังคงอยู่[2]
ผลติ้วขาว

สรรพคุณของติ้วขาว

  1. ช่วยบำรุงโลหิต ฟอกโลหิต (ยอด, ใบอ่อน, ดอก, เถา)[1]
  2. เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำกินแก้ธาตุพิการ (เปลือกต้น)[1]
  3. ช่วยแก้ประดง (ยอด, ใบอ่อน, ดอก, เถา)[1]
  4. ผักติ้วเป็นผักที่มีวิตามินเอสูง จึงมีสรรพคุณช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเป็นตาบอดกลางคืน และโรคตาไก่[7]
  5. ช่วยขับลม (ยอด, ใบอ่อน, ดอก, เถา)[1]
  6. รากและใบ ใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อาการปวดท้อง (รากและใบ)[1]
  7. ใช้รากผสมกับรากปลาไหลและหัวแห้วหมู นำมาต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้งเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะขัด (ราก)[1],[7]
  8. แก่นและลำต้น ใช่แช่กับน้ำดื่ม ช่วยแก้ปะดงเลือด หรืออาการเลือดไหลไม่หยุด (แก่นและลำต้น)[1]
  9. ต้นและยางจากเปลือกต้น ใช้ทาแก้อาการคัน (ยาง)[1]
  10. เปลือกและใบ นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าว ใช้ทารักษาโรคผิวหนังบางชนิด (เปลือกและใบ)[1]
  11. น้ำยางจากต้น ใช้ทารักษารอยแตกของส้นเท้าได้ (ยาง)[1]
  12. ช่วยแก้อาการปวดตามข้อ แก้ไขข้อพิการ (ยอด, ใบอ่อน, ดอก, เถา)[1]
  13. มีงานวิจัยเรื่องการทดลองสารที่พบจากใบผิวติ้วขน โดยพบว่ามีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งตับได้ และยังไม่ทำลายเซลล์ปกติอีกด้วย แต่งานวิจัยดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้นพอที่จะเอาไปใช้ต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ จึงสรุปได้แต่เพียงว่า การรับประทานผักติ้วเป็นประจำจะช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งตับได้ (ใบ)[6]

ประโยชน์ของติ้วขาว

  1. ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อนของติ้วขาวหรือผักติ้วใช้รับประทานเป็นผักสดร่วมกับลาบ ก้อย น้ำตก แจ่ว ซุปหน่อไม้ น้ำพริก น้ำพริกปลาร้า ขนมจีน หมี่กะทิ เมี่ยงญวน แหนมเนืองเวียดนาม หรือจะนำไปประกอบอาหาร เช่น ใส่ต้มหรือแกงต่าง ๆ เพื่อใช้ปรุงรสเปรี้ยวแทนการใช้มะนาว เช่น แกงเห็ด แกงปลา[1],[2],[6],[7]
  2. ดอกอ่อน ใช้ทำซุปหรือยำได้ แต่จะนิยมใช้ติ้วขาวมากกว่าติ้วขน เพราะติ้วขาวมีรสชาติขมและฝาดน้อยกว่าติ้วขน[2]
  3. สารสกัดด้วยน้ำของติ้วขนมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กับปลานิล โดยปลานิลที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ผสมด้วยสารสกัดติ้วขน (อัตราส่วน 1.5% (w/w)) จะมีภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (Nonspecific immune response) สูงขึ้น[5]
  4. สารสกัดจากผักติ้ว (ยอดอ่อน) ที่เข้ากระบวนการสกัดผสมกับเอทานอล (และขั้นตอนอีกหลายขั้นตอน) จนได้สารจากผักติ้วที่ชื่อว่า “คอลโรจินิกเอซิก” สามารถนำไปใช้ยับยั้งกลิ่นหืนของอาหารได้เป็นอย่างดี (งานวิจัยของนิสิตโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)[6]
  5. ไม้ติ้วขาวสามารถนำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำโครงสร้างบ้าน สร้างขื่อบ้าน ทำกระดานพื้น สร้างรั้ว ทำเสาเข็ม ทำด้ามเครื่องมือ จอบ เสียม เครื่องตกแต่งภายในเรือน กระสวยทอผ้า ทำหีบใส่ของ ฯลฯ[7]

คุณค่าทางโภชนาการของผักติ้ว (ยอดอ่อน, ใบอ่อน, ดอก) ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 58 กิโลแคลอรี
  • โปรตีน 2.4 กรัม
  • ไขมัน 1.7 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม
  • เส้นใยอาหาร 1.4 กรัม
  • เถ้า 0.6 กรัม
  • น้ำ 85.7 กรัม
  • วิตามินเอ 7,500 หน่วยสากล
  • วิตามินบี1 0.04 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี2 0.67 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี3 3.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 56 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 67 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม
แหล่งที่มา : ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม (กองโภชนาการ กรมอนามัย)[2]
References
  1. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “ติ้วขาว“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.phargarden.com.  [15 ม.ค. 2014].
  2. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร  “ติ้วขน“.  อ้างอิงใน : หนังสือไม้อเนกประสงค์กินได้ (คณะอนุกรรมการประสานงานวิจัยและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้และไม้โตเร็วอเนกประสงค์), หนังสือผักพื้นบ้านภาคอีสาน (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข), หนังสือผักพื้นบ้านภาคเหนือ (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : 203.172.205.25/ftp/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable.  [16 ม.ค. 2014].
  3. เครือข่ายกาญจนาภิเษก.  “ผักติ้ว“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : kanchanapisek.or.th.  [15 ม.ค. 2014].
  4. รายการสาระความรู้ทางการเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่.  “ผักแต้ว“.  (ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : natres.psu.ac.th.  [15 ม.ค. 2014].
  5. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีที่ 12 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม 2553.  “การใช้สมุนไพรในการป้องกันและรักษาโรคในปลา“.  (พงศ์ศักดิ์ รัตนชัยกุลโสภณ, ปาริชาติ พุ่มขจร).
  6. หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ.  คอลัมน์ : เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ.  “ผักติ้ว ต้านมะเร็งตับ“.  (นายเกษตร).
  7. ศูนย์ฝึกอบรมและควบคุมระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.  “ผักติ้ว“. [ ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : student.nu.ac.th.  [15 ม.ค. 2014].
ภาพประกอบ : www.phargarden.com (by Sudarat Homhual)